เมื่อเสด็จถึงจึงประทับพิงเสากลาง ภิกษุสงฆ์นั่งพิงฝาด้านตะวันตก เจ้าศากยะชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทรงพิงฝาด้านตะวันออก. พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมจนดึก แล้วตรัสสั่งให้พระอานนท์แสดงเสขปฏิปทา ( ข้อปฏิบัติของพระเสขะ คือพระอริยะบุคคลผู้ยังศึกษา ) ส่วนพระองค์ทรงพักผ่อนสำเร็จสีหไสยา. ต่อไปได้ตรัสถึงสาราณิยธรรม ( ธรรมอันทำให้ระลึกถึงกัน ) ๖ ประการ คือ ๑. ตั้งกายกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ๒. ตั้งวจีกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ๓. ตั้งมโนกรรมอันประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจารีทั้งในที่แจ้งที่ลับ ๔.

แต่ผู้เฝ้าป่าไม่รู้จัก จึงไม่อนุญาตให้เสด็จเข้าไป พระอนุรุทธ์พูดกับผู้เฝ้าป่าแนะนำให้รู้จักว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมา แล้วชวนพระนันทิยะและพระกิมพิละมาเฝ้ารับบาตรจีวร ปูอาสนะถวาย. การแสวงหาไม่ประเสริฐ คือแสวงหาสิ่งที่มี ความเกิด , ความแก่ , ความตาย , ความโศก , ความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ส่วนการแสวงหาอันประเสริฐ คือแสวงหาพระนิพพาน อันไม่มีความเกิด เป็นต้น เป็นธรรมดา. เมื่อใส่ใจถึงที่ตั้งแห่งเหตุของความคิดฝ่ายชั่วเหล่านั้น ความคิดฝ่ายชั่วยังเกิดขึ้น ก็พึงเอาฟันกดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน ข่มขี่บีบคั้นจิต. เปรียบเหมือนคนมีกำลังกว่า จับคอคนมีกำลังน้อยกว่า ข่มขี่บีบคั้นฉะนั้น. ทรงแสดงการทดลองของพระองค์เกี่ยวกับอาหาร คือมูลโค รวมทั้งมูตร แลกรีส ( อุจจาระ ) ของพระองค์เอง. สมณพราหมณ์บางพวกก็หลงกลางคืนว่าเป็นกลางวัน หลงกลางวันว่าเป็นกลางคืน แต่พระองค์มิได้เป็นเช่นนั้น.

ทายาทพระนางมัสสุหรีแต่งงาน

มิตรดีแต่พูด ๓. มิตรหัวประจบ ๔. มิตรชวนในทางเสียหาย พร้อมทั้งแสดงลักษณะของมิตรเทียมทั้งสี่ประเภทนั้น ประเภทละ ๔ ประการ. ศาสดาไม่ดี , หลักธรรมไม่ดี , สาวกไม่ดี , ก็เป็นที่ติเตียนทั้งสามฝ่าย ใครปฏิบัติตาม ก็ประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมาก. ธรรมในการปฏิบัติอายตนะ ( ทั้งภายในและภายนอก คือตากับรูป, หูกับเสียง, จมูกกับกลิ่น, ลิ้นกับรส, กายกับโผฏฐัพพะ, และใจกับธรรมะ ). ตรัสในที่สุดว่า ไม่ทรงเห็นกำลังอย่างอื่นสักอย่างหนึ่งที่ครอบงำได้ยากเท่ากำลังของมาร.

เมื่อจบพระธรรมเทศนา ปุณณะโกลิยบุตรกราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ส่วนชีเปลือยชื่อเสนิยะกราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และขอบวช เมื่อทราบว่าผู้เคยเป็นเดียรถีย์มาก่อน ประสงค์จะบวชในพระธรรมวินัยจะต้องอบรมก่อน ๔ เดือน ก็มีศรัทธาจะขออบรมถึง ๔ ปี. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ นิคมแห่งชาวโกลิยะชื่อลิททวสนะ ในแคว้นโกลิยะ . ปุณณะบุตรแห่งโกลิยะ ผู้ประพฤติวัตรดั่งโค ๑ . กับชีเปลือย ชื่อเสนิยะ ผู้ประพฤติดั่งสุนัข เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกล่าวปราศรัยเสร็จแล้ว ปุณณะโกลิยะบุตรก็ทูลถามถึงชีเปลือยชื่อเสนิยะ ผู้ประพฤติวัตรดั่งสุนัข ว่ามีคติเป็นอย่างไร.

ทีมศัลยแพทย์หัวใจเด็กของโรงพยาบาลชำนาญการและศูนย์วิจัย คิง ฟัยซาล ในกรุงริยาด ได้ทำการปลูกถ่ายหัวใจเด็ก 2 คน ติดต่อกันภายใน 24 ชั่วโมง… แม้ครั้งที่สอง พระปัญจวัคคีย์ได้ทูลค้านพระผู้มีพระภาคว่า … แล้วเหมือนดุจเข้าไปในอุทร ฝ่ายทักษิณปรัศว์แห่งพระราชเทวี…”

ตรัสสอนภิกษุทั้งหลาย ว่า การที่ภิกษุพิจารณาถึงความวิบัติของตนและคนอื่น พิจารณาถึงสมบัติของตนและคนอื่นโดยการอันควร เป็นการดี. และตรัสว่า พระเทวทัตถูกอสัทธรรม ๘ คือโลกธรรมครอบงำจิต เป็นผู้ ไปสู่อบาย นรก อย่างไม่มีทางแก้. ตรัสแสดงอานิสงส์ ๖ ประการ ในการทำให้แจ้งโสดาปัตติผล คือเที่ยงใน พระสัทธรรม, มีธรรมะอันไม่เสื่อม, เมื่อทำที่สุดทุกข์ได้ก็ไม่มีทุกข์ ( น่าจะหมายความว่าทุกข์ชนิดไหนและได้แล้วก็จะไม่เกิดอีก ), ประกอบ ด้วยญาณ ( ความรู้ ) อันไม่ทั่วไป ( แก่บุถุชน ), เห็นด้วยดีซึ่งเหตุ และธรรม อันเกิดขึ้นแต่เหตุ. ตรัสว่า ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ อย่าง ไม่ควรบรรลุความเป็นผู้มีกำลังสมาธิ คือไม่ฉลาดในการเข้า, ในการตั้งอยู่, ในการออกเกี่ยวกับสมาธิ, ไม่ทำการโดยเคารพ, ไม่ทำการโดยติดต่อ, ไม่ทำการให้เป็นที่สบาย.

ขุททกปาฐะ, ธัมมปทาคาถา, อุทาน, อิติวุตตกะ, สุตตนิบาต. อีกนัยหนึ่ง คือพูดปด, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ, พูดเพ้อเจ้อ, โลภ, คะนอง. บุคคล ๔ ประเภท คือที่มีโทษ, มีโทษมาก, มีโทษน้อย, ไม่มีโทษ. จะไม่ก้าวล่วงข่มแหงกุลสตรี ( หญิงที่มีสามีแล้ว ) และกุลกุมารี ( หญิงสาวที่ยังไม่มีสามี ). บุคคลก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ. การสร้างวิหาร ( ที่อยู่) อุทิศสงฆ์ที่มาจาก ๔ ทิศ.

ทายาทพระนางมัสสุหรีแต่งงาน

สันโดษ ด้วยเสนาสนะตามมีตามได้ ไม่ทำการแสวงหาอันไม่สมควร เพราะสิ่งทั้งสามนั้นไม่ได้ก็ไม่เดือดร้อน ได้ก็ไม่ติด ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะความสันโดษทั้งสามข้อนั้น ๔. ยินดีในการเจริญกุศลธรรม ในการละอกุศลธรรม.เธอก็ จะครอบงำความไม่ยินดีเสียได้. ทรงแสดงว่า บรรดาวาทะของสมณะเป็นอันมาก วาทะของมักขลิเลวที่สุด คือมีวาทะและความเห็นว่า กรรม ( การกระทำ ) ไม่มี กริยา (อาการที่ทำ ) ไม่มี วิริยะ ( ความเพียร ) ไม่มี เป็นการคัดค้านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งอดีตอนาคต และปัจจุบัน ผู้กล่าวว่า กรรม, กิริยา , ความเพียรมี. ทรงแสดงว่าภิกษุผู้บำเพ็ญสมาธิ พึงใส่ใจนิมิต ( เครื่องหมายในจิตใจ ) ๓ อย่าง โดยกาลอันสมควร ได้แก่สมาธินิมิต (เครื่องหมายคือสมาธิหรือความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ) ปัคคาหนิมิต ( เครื่องหมายคือความเพียร ) อุเบกขานิมิต ( เครื่องหมายคือความวางเฉย ).

ตุรเคียเข้าแทรกแซง ขัดขวางแผนของประเทศกรีซ ที่จะสร้างสนามฟุตบอลบนพื้นที่ที่เป็นสุสานของชาวมุสลิมในยุคออตโตมัน ในเขตเธรสตะวันตก… เลขาธิการ OIC เรียกร้องโลกมุสลิมระดมพลังคัดค้านตอลิบันที่ ห้ามผู้หญิงเรียหนังสือ… รัฐมนตรีต่างประเทศตุรเคีย เอมิเรตส์ หารือปัญหาอัฟกานิสถานและมัสยิดอัลอักซอ… กัสสปพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๔ ) วงศ์แห่งพระกัสสปพุทธเจ้า. เวสสภูพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๑ ) วงศ์แห่งพระเวสสภูพุทธเจ้า. สิขิพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๐ ) วงศ์แห่งพระสิขีพุทธเจ้า.

ผู้เข้าใจตลอดเนื้อความ เห็นอริยสัจจ์ ๔ ด้วยปัญญา ชื่อว่าผู้มี นิพเพธิกปัญญา ( ปัญญาชำแรกหรือทำลายกิเลส ). ผู้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก คือผู้ไม่คิดเบียดเบียนตน ไม่คิด เบียดเบียนผู้อื่น ไม่คิดเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย คิดแต่ประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ประโยชน์แก่โลก ทั้งปวง. ตรัสแสดงว่า พระโสดาบัน เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา แต่ก็อาจต้องอาบัติเล็กน้อยได้ มี ๓ ประเภท คือ เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๒ . ๓ จึงจะท่องเที่ยวไปในเทพและมนุษย์อย่างมากเพียง ๗ ครั้งก็ทำที่สุดทุกข์ได้, ท่องเที่ยวไปสู่ ๒ – ๓ สกุล ( ๒ – ๓ ชาติ ) ก็ทำที่สุดทุกข์ได้, เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งเดียวก็ทำที่สุดทุกข์ได้. ทรงแสดงพระ สกทคามี พิเศษออกไปว่า เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ และเพราะมีราคะ โทสะ โมหะน้อยลง ( กว่าพระโสดาบัน ) จึงจะมาสู่โลกนี้ เพียงครั้งเดียวแล้วทำที่สุดทุกข์ได้.

เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของศาสดา, ๒. รู้อรรถรู้ธรรม. แทงทะลุบทแห่งเนื้อความอันลึกซึ้งในธรรม นั้นด้วยปัญญา. เพื่อนพรหมจารีสรรเสริญ. เมื่อแสดงธรรม ภิกษุที่ยังเป็นเสขะย่อมพยายามเพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ ภิกษุผู้เป็นพระ อรหันต์ ฟังธรรมชื่อว่าอยู่อย่างประกอบธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน. กับตรัสถึงธรรมะ ๗ อย่างที่เป็นไปเพื่อความเสื่อม ความวิบัติของอุบาสก คือไม่ค่อยได้เห็นภิกษุ, ประมาทการฟังธรรม, ไม่ศึกษาในอธิศีล, มากไปด้วยความไม่เลื่อมใสในภิกษุที่เป็นเถระบวชใหม่ ปูนกลาง, ฟัง ธรรมด้วยจิตคิดจับผิด, แสวงหาทักขิเณยยบุคคลนอกจากพระพุทธศาสนา, ทำการอันควรทำก่อนให้ทักขิเณยยบุคคลนอกพระพุทธศาสนา นั้น.

ตอบว่า มีปริยายที่ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้วมีอรรถะและพยัญชนะต่างกัน ; มีอรรถะอันเดียวกัน มีพยัญชนะต่างกัน. นี้เป็นปริยายที่ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว มีอรรถและพญัญชนะต่างกัน. ส่วนปริยายที่ธรรมเหล่านี้อาศัยแล้ว มีอรรถะเดียวกัน มีพยัญชนะต่างกัน คือ ราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าเป็นเครื่องทำให้ “ มีประมาณ” ภิกษุผู้เป็นพระขีณาสพ ละราคะ โทสะ โมหะ ได้เด็ดขาดแล้ว บรรดาเจโตวิมุติที่ “ ไม่มีประมาณ” ทั้งหลาย เจโตวิมุติที่ไม่กำเริบเป็นยอด .

พระสาริบุตรแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ว่า ภิกษุ ภิกษุณีจะรู้ว่าเสื่อมจากอกุศลธรรมหรือไม่ ให้พิจารณาธรรม ๔ อย่างในตน คือความเป็นผู้ไพบูลด้วยราคะ, โทสะ, โมหะ และปัญญาจักษุของผู้นั้นไม่เป็นไปในฐานะที่ควรและไม่ควรอันลึกซึ้ง. ทรงแสดงความอัศจรรย์ ๔ อย่างในพระอานนท์ คือ บริษัทที่เป็นภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา เข้าไปหา ก็ชื่นใจด้วยการดู, ชื่นใจด้วยการกล่าวธรรม ยังไม่ทันอิ่ม พระอานนท์ก็นิ่งเสีย ( ก่อน ). ว่า ฝึกอย่างไรบ้าง เขาตอบว่า ฝึกโดยวิธีหยาบบ้าง ละเอียดบ้าง ทั้งหยาบทั้งละเอียดบ้าง ถ้าฝึกไม่ได้ก็ฆ่าเสีย เพื่อมิให้เสียชื่อสกุล อาจารย์. เมื่อเขาถามว่า ทรงฝึกคนอย่างไร ก็ตรัสตอบอย่างที่เขาตอบ โดยอธิบายว่า ฝึกโดยวิธีหยาบ คือชี้ความ ชั่วและผลของความชั่ว, วิธีละเอียด คือชี้ความดีและผลของความดี, วิธีทั้งหยาบทั้งละเอียด คือชี้ทั้งสองอย่าง. ฆ่าเสีย คือทั้งตถาคตและเพื่อนพรหมจารีไม่ว่ากล่าวสั่งสอนผู้นั้น.

พระผู้มีพระภาคพระทับ ณ เชตวนาราม ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้เป็นผู้รับมรดกธรรม ( ธัมมทายาท ) อย่าเป็นผู้รับมรดกอามิส ( อามิสทายาท). พระศาสดา รู้ยิ่งด้วยปัญญาซึ่งสิ่งต่าง ๆ ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา ๑. เพราะกำหนดรู้ในสิ่งนั้น ๆ แล้ว ๒. เพราะสิ้นตัญหาด้วยประการทั้งปวง ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว.

ตรัสแสดงความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๔ อย่าง คือทักษิณาที่ ๑. บิริสุทธิ์ฝ่ายทายก ( ผู้ให้ ) ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ( ผู้รับ ) ๒. บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายทายก ๓.

เห็นความตายความเกิดของสัตว์ทั้งหลาย (ทิพยจักษุ ) และ ๑๐. ทำอาสวะให้สิ้นได้. ต่อจากนั้นทรงแสดงรายละเอียดในการเจริญอานาปานสติอย่างธรรมดา ( เช่น ที่แสดงในอานาปานบรรพ มหาสติปัฏฐานสูตร (ดูที่พระสุตตันตะ เล่ม ๒ หน้า ๔). มหาสติปัฏฐานสูตร การเจริญอานาปนสติให้เกี่ยวกับกาย , เวทนา, จิตและธรรม; การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้เกี่ยวกับโพชฌงค์ ๗ มีสติ เป็นต้น. ทรงแสดงสัมมาทิฏฐิ ( ความเห็นชอบ ) ว่าเป็นหัวหน้าและว่า รู้จักทั้งฝ่ายเห็นชอบและฝ่ายเห็นผิด.

และทรงแจกรายละเอียดว่า ความไม่เบียดเบียนจึงเป็นไปเพื่อดับเย็น ( ปรินิพพาน ) ของผู้เบียดเบียน เป็นต้น. ตรัสต่อไปว่า ภิกษุเข้ารูปฌาน ( ฌานมีรูปเป็นอารมณ์ ) ทั้งสี่แต่ละอย่าง แล้วนึกว่าเราอยู่ด้วยการขัดเกลาดังนี้ ก็ยังไม่เรียกว่าเป็นการขัดเกลาในอริยวินัย เรียกได้ว่าธรรมะเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน. พระสารีจึงบุตรเฉลยว่า เมื่อพระศาสดาเป็นผู้สงัดแล้ว แต่สาวก ๑ .

ใครจะสามารถถอนคำสาปนี้ได้… ใครจะทำให้เกาะลังกาวีเจริญและพ้นจากคำสาปนี้ได้ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปค้นหาคำตอบของเรื่องราวต่างๆ พร้อมๆ กับเจาะลึกชีวิตของทายาทรุ่นที่ 7 ของ “พระนางเลือดขาว” กันค่ะ แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับ “เกาะลังกาวี” กันซะหน่อย… “ยินดีจะเสียชีวิต แต่ถ้าบริสุทธิ์ขอให้เลือดตัวเองเป็นสีขาว และขอให้เกาะลังกาวีไม่มีความเจริญ ไม่ให้พบกับสันติสุขไปจนถึง 7 ชั่วโคตร” นี่คืออาถรรพ์คำสาปที่ “พระนางเลือดขาว” หรือ “พระนางมัสสุหรี” ได้เอ่ยปากสาปแช่ง “เกาะลังกาวี” ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์…

ถามว่า คนตายกับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธต่างกันอย่างไร ตอบว่า คนตายสิ่งที่ปรุงกาย วาจา จิตดับ อายุสิ้น ไออุ้นดับ ( วูปสันตะ= สงบระงับ ) และอินทรีย์แตก ( ตา หู เป็นต้น ใช้การไม่ได้ ) ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สิ่งที่ปรุงกาย วาจา จิตดับ แต่อายุยังไม่สิ้น ไออุ่นยังไม่ดับอินทรีย์ยังผ่องใส. ทรงแสดงถึงภิกษุนั้นผู้ได้บรรลุรูปฌาน ๔ , ได้ปุพเพนิวาสานุสสติฌาณ ( ฌาณอันทำให้ระลึกชาติได้ ), ได้จุตูปปาตฌาณ ( ฌาณเห็นความตายความเกิด ) และอาสวักขยฌาณ ( ฌาณอันทำอาสวะให้สิ้น ) มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว เป็นต้น เธอเห็นอริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริง เหมือนคนเห็นหอยเห็นก้อนกรวดและฝูงปลาในน้ำใสฉะนั้น. ตรัสถามให้ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ความแก่ ความตาย มีชาติเป็นปัจจัย สาวหาต้นเหตุขึ้นไปโดยลำดับจนถึงอวิชชาอีก แล้วทรงชี้ให้เห็นทั้งสายเกิดสายดับ . สายเกิด คือเพราะมีสิ่งที่เป็นปัจจัยจึงเกิดสิ่งนี้และสายดับก็ทำนองเดียวกัน เพราะดับอวิชชาโดยไม่เหลือ สิ่งอื่น ๆ ก็ดับไปโดยลำดับ. ไม้แห้งวางอยู่บนบก สามารถจะสีไฟให้ติดได้ เปรียบเหมือนสมณพราหมณ์ผู้มีกายออกจากกาม ละความพอใจในกามเสียได้ดี แม้จะไม่บำเพ็ญเพียรได้รับทุกขเวทนากล้า ก็ควรตรัสรู้ได้. สัจจกนิครนถ์กล่าวแสดงความพอใจเห็นด้วยกับพระดำรัสอธิบาย พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ภายหลังที่เสด็จออกผนวชแล้ว ก็มิใช่ฐานะที่สุขเวทนาหรือทุกข์เวทนาจะครอบงำพระหฤทัยของพระองค์ตั้งอยู่ ได้ ซึ่งสัจจกนิครนถ์ก็แสดงความเชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนั้น.

ครั้น รุ่งขึ้นถวายภัตตาหารเสร็จแล้ว จึงกราบทูลว่า ถ้าตนอยู่ในบริษัท ลุกขึ้นจากอาสนะกราบถวายบังคมก็ตาม ถ้าไปในยาม ลงจากยานกราบถวายบังคมก็ตาม พวกบริษัทก็จะจับผิดได้ เป็นเหตุให้เสื่อมยศเมื่อยศเสื่อมก็จะทำให้เสื่อมทรัพย์ เพราะได้ทรัพย์มาเพราะยศ. ในสมัยที่เราเป็นพระเจ้าเอกราช ได้ตั้งใจรักษาศีลอย่างยอดเยี่ยม ปกครองมหาปฐพี ยังกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้เป็นไปโดยไม่เหลือ ( ประพฤติครบทั้งสิบข้อ ) สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ. พระเจ้าทัพพเสนะชิงบุรีได้สำเร็จ จึงขุดหลุมฝังเรา ( เราได้แผ่เมตตา ) นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา.

ตรัสแสดงคุณธรรมของภิกษุผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ว่า ละอาสวะได้ ๖ อย่าง ( มีละด้วยการสำรวม เป็นต้น ( โปรดดูที่แปลไว้แล้วในข้อความน่ารู้จากไตรปิฎก ) หมายเลข ๑๑๗. ต้องเป็นผู้รู้ ผู้เห็น จึงสิ้นอาสวะได้ เป็นแต่ในนั้นแสดงวิธีการ ๗ อย่าง ในที่นี้แสดง ๖ อย่าง ยกข้อว่าด้วยทัสสนะออกเสีย ). ตรัสรายละเอียดเรื่องอนุตตริยะ ๖ เป็นการขยายความจากที่ประทานหัวข้อ ไว้ โดยใจความว่า การเห็น การฟัง เป็นต้น อันนับว่ายอดเยี่ยมนั้น คือที่เป็นไปในทางธรรม ( เห็นพระพุทธเจ้า, ฟังธรรม ) เป็นต้น. ทรงแสดงว่า ภิกษุเสพสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ จะบรรลุธรรมที่ไม่กำเริบไม่นานเลย คือมีความริเริ่มในการงานน้อย มีกิจน้อย เลี้ยงง่าย สันโดษดีในเครื่อง ประกอบแห่งชีวิต, มีอาหารน้อย ไม่เห็นแก่ท้อง, หลับน้อย ประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น, สดับตรับฟังมาก ทรงจำไว้ได้, พิจารณา จิตตามที่หลุดพ้นแล้ว.

ให้ทานหวังกิติศัพท์ ๘. ให้ทานเพื่อเป็นเครื่องประดับเป็น เครื่องประกอบจิต ( เพื่อให้จิตอ่อน ควรแก่คุณธรรมสูงขึ้นไป ). ตรัสว่า ควรเจริญธรรมะ ๗ อย่าง คือ โพชฌงค์ ๗ ( ดูพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ) ๑๑.

มีการประชุมอัครสาวก ๓ ครั้ง . การประชุมสาวกมีภิกษุ ๑ แสนรูปครั้งหนึ่ง ๘ หมื่นรูป ครั้งหนึ่ง ๗ หมื่นรูปครั้งหนึ่ง ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสามครั้ง . มีภิกษุเป็นยอดพุทธอุปฐาก ชื่อเขมังกระ มีพระพุทธบิดาพระนามว่า อรุณะ พระพุทธมารดาพระนามว่า ปภาวตี มีอรุณวตีนครเป็นราชธารี. ตรัสเล่าต่อไปว่า พระองค์เคยเสด็จเข้าไปหาสมณพราหมณ์พวกที่มีความเห็นมีวาทะว่า เมื่อตายไปแล้ว อัตตาจะมีความสุขโดยส่วนเดียว ไม่มีโรค แล้วซักถามว่า ท่านรู้เห็นโลกซึ่งมีความโดยสุขโดยส่วนเดียวหรือเปล่า ก็ตอบว่า เปล่า ถามว่า ท่านรู้จักหนทาง หรือข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อให้บรรลุโลกที่มีความสุขโดยส่วนเดียว หรือเปล่า ก็ตอบว่า เปล่าอีก . คำพูดของสมณะพราหมณ์เหล่านั้น จึงชื่อว่าไม่มีปาฏิหาริย์มิใช่หรือ โปฏฐหาริย์มิใช่หรือ โปฏฐปาทปริพพาชกรับว่า ไม่มีปาฏิหาริย์ เลื่อนลอย. โปกขรสาติพราหมณ์พิจารณาพระพุทธลักษณะและได้เห็นครบ ๓๒ ( ต้องตามลักษณะมนต์ของตน) แต่ ๒ ข้อเห็นไม่ได้ พระผู้มีพระภาคต้องทรงแสดงฤทธิ์และทำให้เห็น แล้วจึงอาราธนาพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ไปฉันในวันรุ่งขึ้น และเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อถวายภัตตาหารแล้ว ได้สดับพระธรรมเทศนาเรื่องอนุบุพพิกา ๒.

ตรัสรับรองว่าเป็นเช่นนั้น. ตรัสถามต่อไปว่า ตถาคตเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงพยากรณ์เมื่อสาวกตายไปว่า ผู้นี้ไปเกิดในที่โน้น ๆ . พระอนุรุทธ์กราบทูลขอให้ทรงตอบ จึงตรัสตอบว่า ที่ทรงพยากรณ์เช่นนั้น มิใช่เพื่อเพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อเรียกร้องคนให้มานับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะหรือชื่อเสียง มิใช่เพื่อให้คนรู้จักเราว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้. เพื่อละกรรมทั้งดำทั้ง ขาว ซึ่งมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ( เป็นเจตนาที่ไม่ต้องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ปรารถนาจำทำกรรมใด ๆ อีกต่อไป). การไม่บอกเป็นการดี ท่านจงอย่าสั่งสอนคนอื่นเลย.

สุนักขัตตลิจฉวีขอให้เรารักษาถ้อยคำที่เราพูดไว้. เราจึงให้สุนักขัตตลิจฉวีไปบอกแก่ชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตร. เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อกลับจากบิณฑบาตในกรุงเวสาลี เราจึงไปพักกลางวันในอารามของชีเปลือยชื่อปาฏิกบุตร.

ลำดับนั้นพระปัญจวัคคีย์ ได้ยอมเชื่อฟังพระผู้มีพระภาค เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิต เพื่อรู้ยิ่ง. ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ข้าพเจ้า ( พระมหากัจจายนเถระ ) เป็นดาบส อยู่ ณ หิมวันตประเทศ เที่ยวไปผู้เดียว ขณะที่ไปยังถิ่นของมนุษย์ทางอากาศ ได้เห็นพระชินะจึงเข้าไปใกล้ ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ผู้กำลังพรรณนาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสาวก และตั้งเป็นเอตทัคคะ ( เป็นยอดหรือเลิศ ) ในทางประกาศพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ย่อ ๆ ให้พิศดาร. ข้าพเจ้าได้ฟังก็รู้สึกพิศวงจึงไปยังหิมวันตประเทศ รวบรวมดอกไม้นำมาบูชาพระพุทธเจ้า แล้วปรารถนาฐานะเช่นกัน ( ตำแหน่งพระสาวกผู้เป็นเลิศทางแสดงธรรมให้พิสดาร ).

นา, สวน ๒. ทรัพย์, ข้าวเปลือก ๓. บุตร, ภริยา ๔. ทาส, กรรมกร ๕. สัตว์ ๔ เท้า ๖.

สมณพราหมณ์บางพวกที่เสพเสนาสนะป่าอันสงัด ไม่ประมาท ทำความเพียร ชำระทิพยจักษุ มองเห็นโลกนี้โลกอื่นและสัตว์อุปปาติกะด้วยจักษุอันเป็นทิยย์ เหนือจักษุของมนุษย์มีอยู่. เรื่องของปรโลกพึงเห็นอย่างนี้ ไม่พึงเข้าใจว่าจะได้เห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้. (หมวดนี้ มีข้อความสั้นที่สุด คือตรัสสอนให้เจริญสติปัฏฐาน ( การตั้งสติ ) ๔ อย่าง, สัมมัปปธาน ( ความเพียรชอบ ) ๔ อย่าง, อิทธิบาท ( ธรรมอันให้ถึงความสำเร็จ ) ๔ อย่าง, เพื่อรู้ยิ่ง, เพื่อกำหนดรู้, เพื่อความสิ้นไป, เพื่อละอุปกิเลส ๑๖ อย่าง มีราคะ เป็นต้น ( แสดงอุปกิเลส ( ครื่องเศร้าหมองจิต ) ๑๖ ประการ คือ ๑. โลภ ๒. พยาบาท ๓.

ทรงแสดงข้อปฏิบัติที่ ๓ อันเป็นที่สบายแก่อาเนญชะ แต่เพิ่มการพิจารณารูปและรูปสัญญา ( ความกำหนดหมายรูป ) ให้เห็นไม่เที่ยง ไม่ควรยินดี . ต่อจากนั้นทรงแสดงว่า เมื่อภิกษุพร้อมเพรียงกันศึกษาอยู่ มีภิกษุรูปใดรูปหนึ่งต้องอาบัติ ก็ยังไม่พึงโจทท้วง พึงพิจารณาตัวบุคคลก่อน ถ้าพอว่ากล่าวได้ไม่ยุ่งยาก ก็พึงว่ากล่าว ถ้าจะยุ่งยาก เกิดการเบียดเบียน ก็พึงวางเฉย. ทรงแสดงในที่สุดว่า พระคถาคตได้เสวยสุขเวทนาอันไม่มีอาสวะ (ตรงกันข้ามกับนิครนถ์ที่เสวยทุกขเวทนาอันหนัก ) จึงได้รับการสรรเสริญทั้งสิบ ฐานะ ( ตรงกันข้ามกับการที่พวกนิครนถ์ถูกติเตียนทั้งสิบฐานะดั่งกล่าวแล้ว ตามข้อ ๖). มาณพได้ทูลได้ทูลถามถึงเรื่องเทวดาอีกเล็กน้อย เมื่อตรัสตอบแล้ว ก็ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาแสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอด ชีวิต. คนเป็นโรคเรื้อน ยิ่งเกายิ่งย่างตัวปากแผลก็ไม่สอาดยิ่งขึ้น มีกลิ่นเหม็นยิ่งขึ้น เน่ายิ่งขึ้น ความเอร็ดอร่อยพอใจ ย่อมมีเพราะเหตุคือการเกาปากแผล.

ท้าวสักกะจึงกราบทูลว่า ตัญหาอันทำให้หวั่นไหว เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร ย่อมฉุดคร่า บุรุษเพื่อให้เกิดในภพนั้น ๆ ถึงความสูงบ้าง ต่ำบ้าง . ดูเถิด อานนท์ ! พระผู้มีพระภาคทรงสามารถให้พระปัญจวัคคีย์ ยินยอมได้แล้ว.

พราหมณ์ไม่ยึดถือสิ่งใด ๆ . ผู้ได้เจโตสมถะ ( ความสงบแห่งจิต ) ภายใน แต่ไม่ได้อธิปัญญา ธัมมวิปัสสนา ( ความเห็นแจ้งธรรมะ อันเป็นอธิปัญญา ). ผู้ได้อธิปัญญา ธัมมวิปัสสนา แต่ไม่ได้เจโตสมถะในภายใน ๓. ผู้ไม่ได้ทั้งสองอย่าง ๔. ผู้ได้ทั้งสองอย่าง.

ครั้นตรัสถามว่า เมื่อมีความเห็นว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นต้น จะชื่อว่ามีการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์หรือไม่ กราบทูลว่า ไม่มี ตรัสต่อไปว่า เมื่อมีความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วมีหรือไม่มี หรือมีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ดังนี้ ก็ยังคงมีความเกิด ความแก่ ความตาย มีความเศร้าโลกพิไรรำพัน ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และความคับแค้นใจ ซึ่งเราบัญญัติให้ทำลายเสียในปัจจุบัน. พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม พระมาลุงกยบุตรคิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงตอบปัญกาเรื่องทิฏฐิ ( ๑๐ ประการ ) มีเรื่องโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นต้น (ดูที่พระสุตตันตะเล่ม ๑ หน้า ๔ ข้อซักถามเพิ่มเติม หมายเลข ๖ นั้น เราไม่พอใจเลย ถ้าทรงตอบปัญหา เราก็จักประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าไม่ทรงตอบ เราจะสึก. เธอจึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคตามที่คิดนั้น. แต่ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ผู้นั้นเป็นผู้ประเสริฐสุดในเทวดาและมนุษย์ . พระผู้มีพระภาคเสด็จลุกขึ้นประทานสาธุการในพระธรรมเทศนานี้ของพระอานนท์.

เทพ ๖ ชั้น ๘. เทพพวกพรหม ทั้งแปดอย่างนี้จะสำเร็จได้ก็ด้วยศีล ไม่ใช่ผู้ทุศีลและ เฉพาะข้อ ๘ ต้องปราศจากราคะด้วย. แล้วตรัสแสดงว่า พรหมจรรย์อันบุคคลประพฤติเพื่อละอนุสัย ๗ . ตรัสแสดงว่า ตระกูล ที่ประกอบด้วยองค์ ๗ ไม่ควรเข้าไป เข้าไปแล้วไม่ควรนั่ง คือไม่ต้อนรับ, ไม่อภิวาท, ไม่ให้อาสนะด้วยอาการที่น่า พอใจ, ปกปิดของที่มีอยู่.